1. วัตถุประสงค์
1.1
เพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยขณะฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
1.2
เพื่อให้การพยาบาลได้ทันท่วงทีเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน
1.3
เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
2.
วัสดุอุปกรณ์
2.1
เครื่องวัดความดันโลหิตพร้อมหูฟัง 1 ชุด
2.2
ออกซิเจน 1 ชุด
2.3
ชุดช่วยฟื้นคืนชีพ 1 ชุด
2.4
น้ำเกลือ (3%Nacl) 500 ซีซี 1 ขวด
2.5
น้ำเกลือ (0.9% NSS.I.V.) 1,000 ซีซี 1 ขวด
2.6
50
% กลูโคส 50 ซีซี 2 ขวด
2.7
Artery
clamp 2 อัน
3.
ขั้นตอนการปฏิบัติ
3.1
วัดและบันทึกสัญญาณชีพและค่าแรงดันต่างๆ
ของวงจรไตเทียม
เมื่อเริ่มฟอกเลือด
-
สัญญาณชีพ
-
เครื่องไตเทียมที่ใช้
(ชนิด หมายเลขเครื่อง)
-
ชนิดของน้ำยาไตเทียม
-
ชนิดและขนาดของยากันเลือดแข็งตัว
-
เวลาเริ่มต้นทำการฟอกเลือด
-
ชนิดและขนาดของตัวกรองเลือด
-
จำนวนครั้งของการใช้ตัวกรองเลือด
-
ค่าแรงดันต่างๆ ของวงจรไตเทียม
เช่นแรงดันลบของเครื่องไตเทียม
-
อัตราการไหลของเลือดและอัตราการไหลของน้ำยาไตเทียมต่อนาที
-
อัตราการดึงน้ำออกต่อชั่วโมงและเป้าหมายการดึงน้ำออกทั้งหมด
-
ความเข้มข้นของน้ำยา
-
อุณหภูมิของน้ำยา
-
การให้เลือดหรือสารน้ำ
-
วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 30 – 60 นาที
หรือบ่อยกว่านั้น ถ้าอาการไม่คงที่ จนกระทั่งหยุดการฟอกเลือด
-
สัญญาณชีพ
-
ค่าแรงดันต่างๆ ของวงจรไตเทียม
-
อัตราการไหลของเลือดต่อนาที
-
อัตราดึงน้ำออกต่อชั่วโมง
-
ปริมาณการดึงน้ำออก
-
การให้ยา เช่น Heparin
3.2
สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงตลอดระหว่างการฟอกเลือด
การให้การรักษาพยาบาล ผลของการให้การรักษาพยาบาล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.3
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา สารน้ำ ตามแผนการรักษา
3.4
ดูแลจิตใจในกรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดีควรซักถามอาการหรือพูดคุยกับผู้ป่วยให้ผู้ป่วยได้คลายความวิตกกังวลและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามเพิ่มเติมในสิ่งที่เป็นปัญหาหรือในสิ่งที่ไม่สบายใจ
3.5
ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่นการรับประทานอาหาร
3.6
ดูแลเรื่องความสุขสบายทั่วไป
-
จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่
-
ให้โอกาสผู้ป่วยได้รับความเพลิดเพลิน เช่นฟังวิทยุ
ดูโทรทัศน์
3.7
ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองขณะอยู่ที่บ้านหรือหอผู้ป่วย
3.8
เฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลง อาการแทรกซ้อน
การป้องกัน และการให้การพยาบาล
3.8.1
Dialysis Disequilibrium Syndrome
การสังเกตอาการ
-
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ
คลื่นไส้อาเจียนกระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ชัก ไม่รู้สึกตัว
การป้องกัน
-
ในผู้ป่วยที่มีของเสียคั่งมากๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ทำการฟอกเลือดครั้งแรก
ทำได้ดังนี้
1.เปิดอัตราไหลของเลือดช้าๆ ไม่ให้เกิน 200 ซีซี
ต่อนาที
2.ฟอกเลือดในช่วงเวลาสั้นๆ 2
– 3 ชั่วโมง
3.ใช้ตัวกรองเลือดที่มีขนาดเล็ก
เช่น พื้นที่ผิวตัวกรองน้อยกว่าหรือเท่ากับ
4.ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี (สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาเรื่องเบาหวาน)
หลังจากทำการฟอกเลือด 30 นาที ถึง 1 ชม.
การพยาบาล
-
ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี
-
ให้การพยาบาลผู้ป่วยตามอาการ เช่น
ความดันโลหิตต่ำให้น้ำเกลือ (0.9%NSS) ทางหลอดเลือดดำเพิ่ม 100 – 200 ซีซี
-
เฝ้าระวังเกี่ยวกับการหายใจ
การป้องกันทางเดินหายใจอุดตัน อาจต้องให้ออกซิเจนถ้าหายใจไม่สะดวก
-
เฝ้าระวังเกี่ยวกับการชัก
-
รายงานแพทย์
-
ให้การพยาบาลตามแผนการรักษา
-
หยุดทำการฟอกเลือดถ้าอาการผู้ป่วยรุนแรง
3.8.2
Hypotension
การสังเกตอาการ
-
ผู้ป่วยบ่นเวียนศีรษะ หาวบ่อยๆ
-
คลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเบา ใจสั่น หายใจไม่สะดวก
เหงื่อออก ตัวเย็น
-
ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกร้อน ปวดท้อง ปวดหลัง
ปวดถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
-
ในรายที่ความดันโลหิตต่ำมากๆ จะมีอาการชัก หมดสติ
หยุดหายใจ
การป้องกัน
-
จัดให้ผู้ป่วยนอนราบ
-
ให้น้ำเกลือ (0.9% NSS.) 100 – 200 ซีซี
-
ให้ออกซิเจน
-
ถ้าความดันโลหิตยังไม่เพิ่มขึ้น พิจารณาให้ 50%Glucose 50
– 100 ml
-
ตรวจสอบความเที่ยงตรงของ TMP. (transmembrane
pressure) หรือ UFR. (Ultrafiltration rate ) ที่ตั้งไว้ว่าถูกต้องเหมาะสม
กับน้ำหนักที่ต้องการลดลงของผู้ป่วยหรือไม่
-
ลด TMP. หรือลด UFR.ลง
-
ซักประวัติการได้รับยาลดความดันโลหิต
ว่าได้รับประทานมาหรือไม่ก่อนฟอกเลือด ควรแนะนำให้ผู้ป่วย
งดยาลดความดันโลหิตก่อนมาฟอกเลือด 4 – 6 ชั่วโมง
-
ตรวจสอบค่า อิเลตโตรลัยท์ ในน้ำยาล้างไต
ถ้าเกลือโซเดียมต่ำต้องได้รับการแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-
ตรวจวัดสัญญาณชีพ 15 – 30 นาที เพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลงจนกว่าอาการปกติ
-
แนะนำผู้ป่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก
การรู้จักสังเกตอาการเริ่มต้นของความดันโลหิตต่ำ
และแจ้งให้พยาบาลทราบทันทีเมื่อมีอาการ
3.8.3
Hypertension
การสังเกตอาการ
-
จากการบอกเล่าของผู้ป่วย เช่นปวดศีรษะ มึนศีรษะ
ปวดบริเวณท้ายทอย
-
จากการตรวจสัญญาณชีพ
พบว่ามีความดันโลหิตสูงจากเกณฑ์ปกติของผู้ป่วยก่อนฟอกเลือด
-
วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 15 – 30 นาที
หรือบ่อยกว่านี้
-
ใช้ความเย็น (cool pack) ประคบบริเวณหน้าผาก
-
ตรวจสอบค่าอิเล็คโตรลัยในน้ำยาไตเทียม
ถ้าค่าเกลือโซเดียมสูงต้องปรับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3.8.4
muscle cramp
การสังเกตอาการ
-
มีอาการเกร็งและปวดบริเวณที่เป็นตะคริว
การป้องกัน
-
ควบคุมปริมาณน้ำที่ดึงออกจากผู้ป่วยให้เหมาะสม
-
ปรับความเข้มข้นของโซเดียมในน้ำยาไตเทียมตามความเหมาะสม
-
แนะนำผู้ป่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก
การพยาบาล
-
บีบนวดบริเวณที่เป็น
-
ประคบความร้อน หรือใช้ยานวดแก้ปวดเมื่อยบริเวณที่เป็น
-
ลดอัตราการดึงน้ำลง ร่วมกับใช้น้ำเกลือ (0.9% NSS) 100 – 200 ซีซี ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ 3 % NaCl
100 ซีซี หรือ 50 % กลูโคส 50 –
100 ซีซี
3.8.5
Fever
การสังเกตอาการ
-
ผู้ป่วยจะมีไข้หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน บางรายความดันโลหิตต่ำ
การป้องกัน
-
เตรียมน้ำบริสุทธิ์ที่มีคุณภาพในการนำมาใช้ฟอกเลือด
-
เตรียมอุปกรณ์อื่นๆ ตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด
โดยใช้เทคนิคปลอดเชื้อและไม่เตรียมไว้นานเกินไป (ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง)
การพยาบาล
-
ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียม
ถ้าพบอุณหภูมิสูงปรับตั้งให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-
ดูแลร่างกายให้อบอุ่น เช่น ห่มผ้าเพิ่มขึ้น ให้กระเป๋าน้ำร้อน
-
วัดและบันทึกสัญญาณชีพ ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้
-
ซักประวัติการติดเชื้อ เช่นมีไข้ เจ็บคอ
-
ถ้าเป็นผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจ
ให้ออกซิเจนและให้ยาแก้ไขอาการหนาวสั่น
-
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น รายงานแพทย์
-
ให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.6
Air embolism
การสังเกตอาการ
-
ผู้ป่วยที่อยู่ในท่านอน
จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหายใจลำบาก ไอ กระสับกระส่าย สับสนตัวซีดเขียว
ตามองเห็นไม่ชัดเจน ความดันโลหิตต่ำ
-
ผู้ป่วยในท่านั่ง จะมีอาการชักหมดสติ
การป้องกัน
-
ตรวจสอบให้ air
detector ของเครื่องทำงานตลอดเวลา
-
สำรวจรอยต่อต่างๆ ของวงจรไตเทียมให้แน่นสนิท
-
ถ้าต้องการให้สารน้ำหรือเลือด พยาบาลจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
-
การไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วยควรใช้ 0.9 % NSS แทนการไล่ด้วยอากาศ
-
การฉีดยาทางสายส่งเลือดต้องทำด้วยความระมัดระวัง
การพยาบาล
-
หยุดการฟอกเลือดทันทีโดยไม่ต้องไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-
จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้าย ศีรษะและหน้าอกต่ำ
ให้ออกซิเจน
-
รีบรายงานแพทย์
-
วัดสัญญาณชีพใกล้ชิดตลอดเวลาจนกว่าปกติ
-
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ
-
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
3.8.7
Hemolysis
การสังเกตอาการ
-
หอบเหนื่อย หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ตัวซีดเขียว
กระสับกระส่ายและหมดสติ
-
เลือดที่อยู่ในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด
จะใสกว่าปกติและมีตะกอนของเม็ดเลือดปนอยู่
การป้องกัน
-
ก่อนฟอกเลือดจะต้องตรวจสอบ
ความเข้มข้นและอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียม
-
ทดสอบสัญญาณเตือนของเครื่องและระบบ bypass ให้ทำงานเมื่อมีความผิดปกติ
การพยาบาล
-
หยุดทำการฟอกเลือดโดยไม่ต้องไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-
ให้ออกซิเจน 100 % ทาง Mask
-
รีบรายงานแพทย์ทันที
-
ตรวจวัดสัญญาณชีพ
สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
-
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ
3.8.8
Arrthythmia
การสังเกตอาการ
-
จากการบอกเล่าของผู้ป่วยว่า
หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
-
จากการตรวจวัดสัญญาณชีพ
-
สังเกตเห็นการทำงานของหัวใจ เต้นแรงและเร็ว
การป้องกัน
-
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานยาตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
การพยาบาล
-
ให้ออกซิเจน cannula 5 ลิตรต่อนาที
-
ลด blood flow ลง
-
วัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 10 – 15 นาที
-
ตรวจสอบค่าอิเลคโตรลัยท์
ในเลือดและน้ำยาไตเทียมถ้าโปตัสเซียมในเลือดต่ำกว่า 3.5 mg % และน้ำยาไตเทียมต่ำกว่า 2 mg % รายงานแพทย์
3.8.9
Heart failure
การสังเกตอาการ
-
ผู้ป่วยจะหายใจเหนื่อย
แน่นอึดอัดแน่นหน้าอกนอนราบไม่ได้
-
ฟังปอดมีเสียง Crepitation
-
ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติของผู้ป่วยมาก
การป้องกัน
-
ผู้ป่วยที่มีอายุมากและมีปัญหาทางระบบหัวใจจะต้องเปิด
blood flow ไม่เกิน 250 ซีซี ต่อนาที
-
ระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง
ไม่ควรให้สารน้ำหรือเลือดในอัตราที่เร็วเกินไป
การพยาบาล
-
ให้ออกซิเจน ทาง mask
-
ให้ยาลดความดันโลหิตใต้ลิ้น 5-10 mg ในกรณีที่ความดันโลหิตสูงมาก
-
รายงานแพทย์
3.8.10
Chest pain
การสังเกตอาการ
-
จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยว่าเจ็บหน้าอก
บางรายปวดร้าวไปที่ไหล่ สะบัก หรืออาจมีปวดกรามได้
การป้องกัน
-
ดูแลให้ผู้ป่วยมีความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น
การพยาบาล
-
ให้ออกซิเจน canula 5 ลิตรต่อนาที
-
ลด blood flow
-
ลดอัตราการดึงน้ำ
-
รายงานแพทย์
-
ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เช่น อมยา
Isordil 5 มิลลิกรัม ใต้ลิ้น
-
สังเกตและบันทึกอาการอย่างใกล้ชิดและตรวจวัดสัญญาณชีพ
-
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หยุดทำการฟอกเลือด
3.8.11
Cardiac Arrest
การสังเกตอาการ
-
คลำไม่พบชีพจรที่ carotid Vein
-
หยุดหายใจ
-
ไม่รู้สึกตัว
-
การทำงานของหัวใจมี asystole
หรือ ventricular fibrilation
การป้องกัน
-
ดูแลอาการ ช็อค
-
ระวังกระบวนการฟอกเลือดทุกขั้นตอน
-
ผู้ป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อ Cardiac Arrcst ต้อง EKG monitor
การพยาบาล
-
แจ้งทีมการพยาบาลทราบเพื่อทำการช่วยฟื้นคืนชีพ
-
หยุดการฟอกเลือด ไล่เลือดกลับเข้าสู่ตัวผู้ป่วย
-
รายงานแพทย์โดยด่วน
3.8.12
Seizure
อาการ
-
ผู้ป่วยจะมีอาการเกร็งกระตุก
การป้องกัน
-
ลดของเสียของผู้ป่วยอย่างช้าๆ
-
ให้ยากันชักตามแผนการรักษา
การพยาบาล
-
ให้ออกซิเจน
-
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
-
ลด blood flow
-
ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี
-
วัดและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงและสัญญาณชีพ
-
รายงานแพทย์
-
ให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.13
blood loss
การสังเกตอาการ
-
มีการสูญเสียเลือดเห็นได้อย่างชัดเจน
-
อาเจียน
-
ช็อค ชัก
การป้องกัน
-
ปิดปั้มเลือดทันที
-
ปิดที่หนีบ (clamp) สายส่งเลือดออกและสายส่งเลือดเข้า
-
หาสาเหตุของการมีเลือดออก
-
ถ้ามีการปนเปื้อนของเลือด
ควรทิ้งเลือดทั้งหมดในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด แต่ถ้าไม่มีการปนเปื้อน
ไล่เลือดกลับเข้าสู่ผู้ป่วยได้
-
ให้ออกซิเจนถ้าเสียเลือดมาก
-
รายงานแพทย์
-
ให้เลือดและสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
-
ถ้าเกิดจากการรั่วซึมของ fistula ใช้ pressure กดบริเวณเหนือส่วนนั้นขึ้นไป
3.8.14
Anaphylactoid type (first use syndrome type A)
การสังเกตอาการ
-
มีผื่นขึ้น คัน ไอ มีน้ำมูก ตาแดง ปวดท้อง ท้องเสีย
เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก ถ้าอาการ
รุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น
การป้องกัน
-
ล้างสารปนเปื้อนในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือดออกให้มากที่สุด
-
ใช้ตัวกรองเลือดให้เหมาะกับผู้ป่วย
การพยาบาล
-
หยุดทำการฟอกเลือดโดยไม่ต้องคืนเลือดเข้าตัวผู้ป่วย
-
ให้ออกซิเจนและให้การพยาบาลตามอาการ
-
ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 10 – 15 นาที
-
รายงานแพทย์และให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.15
Non specific type (first use syndrome type B)
การสังเกตอาการ
-
จะมีอาการเจ็บหน้าอก ปวดหลัง มีไข้ ความดันโลหิตสูง
หายใจเหนื่อย หอบ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ จนถึง 1 ชั่วโมง และหายไปได้เอง
การป้องกัน
-
ล้างสารปนเปื้อนในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือดออกให้มากที่สุด
-
ใช้ตัวกรองเลือดให้เหมาะกับผู้ป่วย
การพยาบาล
-
ฟอกเลือดต่อไป
-
ให้การพยาบาลตามอาการ เช่น ให้ออกซิเจน
-
ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 10 – 15 นาที
-
รายงานแพทย์
-
ให้ยาตามแผนการรักษา
3.9
การเฝ้าติดตามการทำงานของเครื่องไตเทียม
และการแก้ไขเมื่อพบความผิดปกติ ที่พบบ่อยๆ มีดังนี้
3.9.1
Dialyzer clotted
การสังเกต
-
มีลิ่มเลือดอุดตันในตัวกรอง
-
แรงดันทางด้านสายส่งเลือดระหว่างตัวปั้มเลือดและตัวกรองเลือดสูงขึ้น
การแก้ไข
-
หนีบสายส่งเลือดออก แล้วไล่ด้วยน้ำเกลือ 0.9 %NSS ให้ไหลเข้าตัวกรองเลือด
อัตรา 200- 300 ซีซี
-
กลับตัวกรองเลือดเอาด้านเลือดเข้าขึ้นข้างบนแล้วปั่นตัวกรองไปมา
-
เพิ่มอัตราการไหลของเลือดให้ได้อย่างน้อย 200 ซีซี
ต่อนาที
3.9.2
Ruptured membrane
การสังเกต
-
มีเสียงสัญญาณเตือน
-
ไฟ blood leak detector กระพริบ
การแก้ไข
-
สังเกตน้ำยาไตเทียมที่ออกจากตัวกรองเลือดว่ามีเลือดปนหรือไม่
-
ปลดสายน้ำยาไตเทียม ออกจากตัวกรองเลือด
-
ไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-
เปลี่ยนตัวกรองเลือดใหม่ แล้วฟอกเลือดต่อ
-
สังเกตการมีไข้ หนาวสั่น ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
3.9.3
Air detector และ blood clamp
การสังเกต
-
สังเกตฟองอากาศในวงจรฟอกเลือด
ถ้ามีเสียงสัญญาณตรวจจับฟองอากาศซึ่งจะเกิดพร้อมกับหนีบสายส่งเลือดเข้าทันที
ตัวปั้มเลือดจะหยุดหมุน
การแก้ไข
-
หนีบสายส่งเลือดเข้า
-
ปลดกระเปาะรับเลือดที่สายส่งเลือดเข้าออกจาก air detector
-
กดปุ่ม Prime ให้ blood pump ทำงานไล่ฟองอากาศ ออกจากสายส่งเลือดเข้าให้หมด
-
ในกรณีที่ฟองอากาศมากไม่สามารถไล่ออกทางกระเปาะรับเลือดด้านสายส่งเลือดเข้าได้หมด
จะต้องปลดสายส่งเลือดด้านนำเลือดออกมาเชื่อมต่อกับสายส่งเลือดด้านนำเลือดเข้า เปิด
blood pump
circulate ไปเรื่อยๆ จนสามารถ ไล่ฟองอากาศออกได้หมด
-
นำกระเปาะรับเลือดที่สายส่งเลือดเข้ามาผ่าน air detector ถ้าเครื่องไม่มีเสียงสัญญาณเตือนแสดงว่าไม่มีฟองอากาศในวงจรไตเทียม
สามารถนำสายส่งเลือด ต่อเข้ากับผู้ป่วยทำการฟอกเลือดต่อไปได้
3.9.4
High arterial pressure
การสังเกต
-
ค่าแรงดัน arterial pressure สูง
-
จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-
blood
pump หยุดหมุน
การแก้ไข
-
ดูแลไม่ให้สายส่งเลือดออกพับงอ ใช้ปลาสเตอร์ติดเข็มและ
blood line ให้แน่น
-
ปรับเข็มให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี ถ้า blood flow ยังไม่ดี
อาจจะต้องแทงเข็มใหม่ โดยไม่ต้องดึงเข็มเก่าออกจนกว่าฟอกเลือดเสร็จ
-
ใช้ 0.9 % NSS ไล่เลือดผ่านสายส่งเลือดด้านนำเลือดออกและตัวกรองเลือดพยายามไล่ลิ่มเลือดออกทางกระเปาะ
ถ้าไม่สามารถไล่เลือดออกได้หรือตัวกรองเลือดอุดตันเกิน 50 % ควรเปลี่ยนตัวกรองเลือดใหม่
3.9.5
Low arterial pressure
การสังเกต
-
ค่าแรงดัน arterial
pressureต่ำกว่าปกติ (-50 มม.ปรอท)
-
จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-
blood
pump หยุดหมุน
การแก้ไข
-
ลด blood flow rate จนถึงระดับที่สายไม่กระตุก
-
วัดความดันโลหิต ถ้าความดันโลหิตของผู้ป่วยต่ำ ให้ 0.9% NSS 100 – 200 ซีซี หรือลด UFR.ลง
-
ถ้าความดันโลหิตปกติ ปรับตำแหน่งเข็มขึ้น – ลง
ในผู้ป่วยที่ใช้ Double lumen catheter หมุน catheter
ไปมา
-
ถ้า blood flow ยังไม่ดีเปลี่ยนที่แทงเข็มใหม่
สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ Double lumen จะต้องรายงานแพทย์ทราบ
3.9.6
High venous pressure
การสังเกต
-
ค่าแรงดัน venous pressure สูงมากกว่าค่าที่ปรับตั้งไว้
-
จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-
blood
pump หยุดหมุน
การแก้ไข
-
ตรวจสอบสายส่งเลือดเข้าว่ามีการพับงอหรือไม่
-
ตรวจสอบในตัวกรองเลือดและกระเปาะรับเลือดด้านส่งเลือดเข้าว่ามีลิ่มเลือดหรือไม่
โดยใช้ 0.9 %
NSS ไล่เลือด 100 – 200 ซีซี สังเกตตัวกรองเลือดถ้าใสดี
แสดงว่ามีลิ่มเลือดอุดตันที่สายส่งเลือด ไล่ลิ่มเลือดออกทางปลายกระเปาะรับเลือด
ถ้าไม่สามารถไล่ลิ่มเลือดออกได้ จะต้องเปลี่ยนสายส่งเลือดชุดใหม่
-
ตรวจสอบปลาย venous ถ้าต้องใช้แรงดันมากแสดงว่าปลาย
venous อุดตัน
3.9.7
Low venous pressure
การสังเกต
-
ค่าแรงดัน venous pressure ลดลงน้อยกว่า 50 มม. ปรอท
-
มีเสียงสัญญาณเตือน blood pump จะหยุดหมุน
การแก้ไข
-
ดูแลอย่าให้เข็ม (AVF.)
เลื่อนหลุด โดยปิดปลาสเตอร์ให้แน่น
-
ดูแลข้อต่อให้แน่น
3.9.8
Blood pump หยุดทำงาน
ปกติจะต้องหมุนตลอดเวลาของการฟอกเลือด การแก้ไข จะต้องแก้ไขตามสาเหตุ
3.9.9
Heparin infusion pump ต้องใส่ให้แน่น
เพื่อไม่ให้เกิดการหลุดรั่วและเพื่อตั้งอัตราการใช้ยาให้ถูกต้อง
3.9.10
ดูแลน้ำยาไตเทียมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติถ้ามีค่า High conductivity จะต้องแก้ไขดังนี้
-
ดูแลให้มีแรงดันของน้ำเข้าเครื่องไตเทียมเพียงพอ
-
ตรวจน้ำยาไตเทียม
ถ้ามีค่า Low conductivity แก้ไขดังนี้
-
ตรวจสอบน้ำยาว่าหมดหรือไม่
-
ตรวจดูความถูกต้องของน้ำยา
3.9.11
อุณหภูมิปกติจะกำหนดไว้ 36.5 – 37 องศาเซลเซียส
ถ้าอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส เครื่องจะมีสัญญาณเตือน และ Auto
bypass
การแก้ไข
-
ดูแลให้มีแรงดันน้ำเข้าเครื่องให้เพียงพอ
-
ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียมก่อนฟอกเลือดทุกครั้ง
-
แจ้งช่างแก้ไขระบบควบคุมภายในเครื่องให้ถูกต้อง
4.
เกณฑ์ชี้วัด
4.1
จะต้องมีข้อมูลบันทึกการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยขณะฟอกเลือดทุกราย
4.2
เมื่อผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนได้รับการแก้ไขช่วยเหลืออย่างถูกต้องทันท่วงที
4.3
ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลจากพยาบาลอย่างใกล้ชิดในระหว่างการฟอกเลือด
5.
ผู้รับผิดชอบ
พยาบาลวิชาชีพประจำหน่วยไตเทียม
หนังสืออ้างอิง
แนวทางปฏิบัติเรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยขณะฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
หน่วยไตเทียมมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ณ
ตึกกัลยาณิวัฒนา โรงพยาบาลสงฆ์.