วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

HD8. การพยาบาลผู้ป่วยขณะฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

1.  วัตถุประสงค์
1.1      เพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยขณะฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
1.2      เพื่อให้การพยาบาลได้ทันท่วงทีเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน
1.3      เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
2.      วัสดุอุปกรณ์
2.1      เครื่องวัดความดันโลหิตพร้อมหูฟัง             1        ชุด
2.2      ออกซิเจน                                         1        ชุด
2.3      ชุดช่วยฟื้นคืนชีพ                                 1        ชุด
2.4      น้ำเกลือ (3%Nacl) 500 ซีซี                     1        ขวด
2.5      น้ำเกลือ (0.9% NSS.I.V.) 1,000 ซีซี           1        ขวด
2.6      50 % กลูโคส 50 ซีซี                                      2        ขวด
2.7      Artery clamp                                     2        อัน
3.      ขั้นตอนการปฏิบัติ
3.1      วัดและบันทึกสัญญาณชีพและค่าแรงดันต่างๆ ของวงจรไตเทียม
                  เมื่อเริ่มฟอกเลือด
-        สัญญาณชีพ
-         เครื่องไตเทียมที่ใช้ (ชนิด หมายเลขเครื่อง)
-        ชนิดของน้ำยาไตเทียม
-        ชนิดและขนาดของยากันเลือดแข็งตัว
-        เวลาเริ่มต้นทำการฟอกเลือด
-        ชนิดและขนาดของตัวกรองเลือด
-        จำนวนครั้งของการใช้ตัวกรองเลือด
-        ค่าแรงดันต่างๆ ของวงจรไตเทียม เช่นแรงดันลบของเครื่องไตเทียม
-        อัตราการไหลของเลือดและอัตราการไหลของน้ำยาไตเทียมต่อนาที
-        อัตราการดึงน้ำออกต่อชั่วโมงและเป้าหมายการดึงน้ำออกทั้งหมด
-        ความเข้มข้นของน้ำยา
-        อุณหภูมิของน้ำยา
-        การให้เลือดหรือสารน้ำ
-        วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 30 – 60 นาที หรือบ่อยกว่านั้น ถ้าอาการไม่คงที่ จนกระทั่งหยุดการฟอกเลือด
-        สัญญาณชีพ
-        ค่าแรงดันต่างๆ ของวงจรไตเทียม
-        อัตราการไหลของเลือดต่อนาที
-        อัตราดึงน้ำออกต่อชั่วโมง
-        ปริมาณการดึงน้ำออก
-        การให้ยา เช่น Heparin
3.2      สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงตลอดระหว่างการฟอกเลือด การให้การรักษาพยาบาล ผลของการให้การรักษาพยาบาล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.3      ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา สารน้ำ ตามแผนการรักษา
3.4      ดูแลจิตใจในกรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดีควรซักถามอาการหรือพูดคุยกับผู้ป่วยให้ผู้ป่วยได้คลายความวิตกกังวลและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามเพิ่มเติมในสิ่งที่เป็นปัญหาหรือในสิ่งที่ไม่สบายใจ
3.5      ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่นการรับประทานอาหาร
3.6      ดูแลเรื่องความสุขสบายทั่วไป
-        จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่
-        ให้โอกาสผู้ป่วยได้รับความเพลิดเพลิน เช่นฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์
3.7      ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองขณะอยู่ที่บ้านหรือหอผู้ป่วย
3.8      เฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลง อาการแทรกซ้อน การป้องกัน และการให้การพยาบาล
3.8.1         Dialysis Disequilibrium Syndrome
                              การสังเกตอาการ
-        ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนกระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ชัก ไม่รู้สึกตัว
                              การป้องกัน
-        ในผู้ป่วยที่มีของเสียคั่งมากๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ทำการฟอกเลือดครั้งแรก ทำได้ดังนี้ 
   1.เปิดอัตราไหลของเลือดช้าๆ ไม่ให้เกิน 200 ซีซี ต่อนาที
   2.ฟอกเลือดในช่วงเวลาสั้นๆ 2 – 3 ชั่วโมง
   3.ใช้ตัวกรองเลือดที่มีขนาดเล็ก เช่น พื้นที่ผิวตัวกรองน้อยกว่าหรือเท่ากับ    
      1.2 ตารางเมตร
   4.ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี  (สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาเรื่องเบาหวาน) หลังจากทำการฟอกเลือด 30 นาที ถึง ชม.
                              การพยาบาล
-        ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี
-        ให้การพยาบาลผู้ป่วยตามอาการ เช่น ความดันโลหิตต่ำให้น้ำเกลือ (0.9%NSS) ทางหลอดเลือดดำเพิ่ม 100 – 200 ซีซี
-        เฝ้าระวังเกี่ยวกับการหายใจ การป้องกันทางเดินหายใจอุดตัน อาจต้องให้ออกซิเจนถ้าหายใจไม่สะดวก
-        เฝ้าระวังเกี่ยวกับการชัก
-        รายงานแพทย์
-        ให้การพยาบาลตามแผนการรักษา
-        หยุดทำการฟอกเลือดถ้าอาการผู้ป่วยรุนแรง
3.8.2        Hypotension
                              การสังเกตอาการ
-        ผู้ป่วยบ่นเวียนศีรษะ หาวบ่อยๆ
-        คลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเบา ใจสั่น หายใจไม่สะดวก เหงื่อออก ตัวเย็น
-        ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกร้อน ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
-        ในรายที่ความดันโลหิตต่ำมากๆ จะมีอาการชัก หมดสติ หยุดหายใจ
                             การป้องกัน
-        จัดให้ผู้ป่วยนอนราบ
-        ให้น้ำเกลือ (0.9% NSS.) 100 – 200 ซีซี
-        ให้ออกซิเจน
-        ถ้าความดันโลหิตยังไม่เพิ่มขึ้น พิจารณาให้ 50%Glucose 50 – 100 ml
-        ตรวจสอบความเที่ยงตรงของ TMP. (transmembrane pressure) หรือ UFR. (Ultrafiltration rate )  ที่ตั้งไว้ว่าถูกต้องเหมาะสม กับน้ำหนักที่ต้องการลดลงของผู้ป่วยหรือไม่
-        ลด TMP. หรือลด UFR.ลง
-        ซักประวัติการได้รับยาลดความดันโลหิต ว่าได้รับประทานมาหรือไม่ก่อนฟอกเลือด ควรแนะนำให้ผู้ป่วย งดยาลดความดันโลหิตก่อนมาฟอกเลือด 4 – 6 ชั่วโมง
-        ตรวจสอบค่า อิเลตโตรลัยท์ ในน้ำยาล้างไต ถ้าเกลือโซเดียมต่ำต้องได้รับการแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-        ตรวจวัดสัญญาณชีพ 15 – 30 นาที     เพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลงจนกว่าอาการปกติ
-        แนะนำผู้ป่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก การรู้จักสังเกตอาการเริ่มต้นของความดันโลหิตต่ำ และแจ้งให้พยาบาลทราบทันทีเมื่อมีอาการ
3.8.3        Hypertension
                                    การสังเกตอาการ
-        จากการบอกเล่าของผู้ป่วย เช่นปวดศีรษะ มึนศีรษะ ปวดบริเวณท้ายทอย
-        จากการตรวจสัญญาณชีพ พบว่ามีความดันโลหิตสูงจากเกณฑ์ปกติของผู้ป่วยก่อนฟอกเลือด
-        วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 15 – 30 นาที หรือบ่อยกว่านี้
-        ใช้ความเย็น (cool pack) ประคบบริเวณหน้าผาก
-        ตรวจสอบค่าอิเล็คโตรลัยในน้ำยาไตเทียม ถ้าค่าเกลือโซเดียมสูงต้องปรับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3.8.4        muscle cramp
                                   การสังเกตอาการ
-        มีอาการเกร็งและปวดบริเวณที่เป็นตะคริว
                                   การป้องกัน
-        ควบคุมปริมาณน้ำที่ดึงออกจากผู้ป่วยให้เหมาะสม
-        ปรับความเข้มข้นของโซเดียมในน้ำยาไตเทียมตามความเหมาะสม
-        แนะนำผู้ป่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก
                                   การพยาบาล
-        บีบนวดบริเวณที่เป็น
-        ประคบความร้อน หรือใช้ยานวดแก้ปวดเมื่อยบริเวณที่เป็น
-        ลดอัตราการดึงน้ำลง ร่วมกับใช้น้ำเกลือ (0.9% NSS) 100 – 200 ซีซี ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ 3 % NaCl  100 ซีซี หรือ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี
3.8.5        Fever
                                   การสังเกตอาการ
-        ผู้ป่วยจะมีไข้หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน         บางรายความดันโลหิตต่ำ
                                   การป้องกัน
-        เตรียมน้ำบริสุทธิ์ที่มีคุณภาพในการนำมาใช้ฟอกเลือด
-        เตรียมอุปกรณ์อื่นๆ ตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด โดยใช้เทคนิคปลอดเชื้อและไม่เตรียมไว้นานเกินไป (ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง)
                                  การพยาบาล
-        ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียม ถ้าพบอุณหภูมิสูงปรับตั้งให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-        ดูแลร่างกายให้อบอุ่น เช่น ห่มผ้าเพิ่มขึ้น ให้กระเป๋าน้ำร้อน
-        วัดและบันทึกสัญญาณชีพ ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้
-        ซักประวัติการติดเชื้อ เช่นมีไข้ เจ็บคอ
-        ถ้าเป็นผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจ ให้ออกซิเจนและให้ยาแก้ไขอาการหนาวสั่น
-        ถ้าอาการไม่ดีขึ้น รายงานแพทย์
-        ให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.6        Air embolism
                               การสังเกตอาการ
-        ผู้ป่วยที่อยู่ในท่านอน จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหายใจลำบาก ไอ กระสับกระส่าย สับสนตัวซีดเขียว ตามองเห็นไม่ชัดเจน ความดันโลหิตต่ำ
-        ผู้ป่วยในท่านั่ง จะมีอาการชักหมดสติ
                               การป้องกัน
-        ตรวจสอบให้  air detector ของเครื่องทำงานตลอดเวลา
-        สำรวจรอยต่อต่างๆ ของวงจรไตเทียมให้แน่นสนิท
-        ถ้าต้องการให้สารน้ำหรือเลือด พยาบาลจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
-        การไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วยควรใช้ 0.9 % NSS  แทนการไล่ด้วยอากาศ
-        การฉีดยาทางสายส่งเลือดต้องทำด้วยความระมัดระวัง
                              การพยาบาล
-        หยุดการฟอกเลือดทันทีโดยไม่ต้องไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-        จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้าย ศีรษะและหน้าอกต่ำ ให้ออกซิเจน
-        รีบรายงานแพทย์
-        วัดสัญญาณชีพใกล้ชิดตลอดเวลาจนกว่าปกติ
-        เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ
-        สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
3.8.7        Hemolysis
                              การสังเกตอาการ
-        หอบเหนื่อย หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ตัวซีดเขียว กระสับกระส่ายและหมดสติ
-        เลือดที่อยู่ในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด จะใสกว่าปกติและมีตะกอนของเม็ดเลือดปนอยู่
                             การป้องกัน
-        ก่อนฟอกเลือดจะต้องตรวจสอบ ความเข้มข้นและอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียม
-        ทดสอบสัญญาณเตือนของเครื่องและระบบ bypass ให้ทำงานเมื่อมีความผิดปกติ
                             การพยาบาล
-        หยุดทำการฟอกเลือดโดยไม่ต้องไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-        ให้ออกซิเจน 100 % ทาง Mask
-        รีบรายงานแพทย์ทันที
-        ตรวจวัดสัญญาณชีพ สังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
-        เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ


3.8.8        Arrthythmia
                              การสังเกตอาการ
-        จากการบอกเล่าของผู้ป่วยว่า หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
-        จากการตรวจวัดสัญญาณชีพ
-        สังเกตเห็นการทำงานของหัวใจ เต้นแรงและเร็ว
                             การป้องกัน
-        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานยาตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
                             การพยาบาล
-        ให้ออกซิเจน cannula 5 ลิตรต่อนาที
-        ลด blood flow ลง
-        วัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 10 – 15 นาที
-        ตรวจสอบค่าอิเลคโตรลัยท์   ในเลือดและน้ำยาไตเทียมถ้าโปตัสเซียมในเลือดต่ำกว่า 3.5 mg  %  และน้ำยาไตเทียมต่ำกว่า 2 mg % รายงานแพทย์
3.8.9        Heart failure
                             การสังเกตอาการ
-        ผู้ป่วยจะหายใจเหนื่อย แน่นอึดอัดแน่นหน้าอกนอนราบไม่ได้
-        ฟังปอดมีเสียง Crepitation
-        ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติของผู้ป่วยมาก
                            การป้องกัน
-        ผู้ป่วยที่มีอายุมากและมีปัญหาทางระบบหัวใจจะต้องเปิด blood flow ไม่เกิน 250 ซีซี ต่อนาที
-        ระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ควรให้สารน้ำหรือเลือดในอัตราที่เร็วเกินไป                         
                               การพยาบาล
-        ให้ออกซิเจน ทาง mask
-        ให้ยาลดความดันโลหิตใต้ลิ้น  5-10 mg ในกรณีที่ความดันโลหิตสูงมาก
-        รายงานแพทย์

3.8.10     Chest pain
                               การสังเกตอาการ
-        จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยว่าเจ็บหน้าอก บางรายปวดร้าวไปที่ไหล่ สะบัก หรืออาจมีปวดกรามได้
                               การป้องกัน
-        ดูแลให้ผู้ป่วยมีความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น
                               การพยาบาล
-        ให้ออกซิเจน canula 5  ลิตรต่อนาที
-        ลด blood flow
-        ลดอัตราการดึงน้ำ
-        รายงานแพทย์
-        ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์  เช่น อมยา   Isordil  5  มิลลิกรัม ใต้ลิ้น
-        สังเกตและบันทึกอาการอย่างใกล้ชิดและตรวจวัดสัญญาณชีพ
-        ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หยุดทำการฟอกเลือด
3.8.11      Cardiac Arrest
                               การสังเกตอาการ
-        คลำไม่พบชีพจรที่  carotid Vein
-        หยุดหายใจ
-        ไม่รู้สึกตัว
-        การทำงานของหัวใจมี asystole  หรือ  ventricular fibrilation
                              การป้องกัน
-        ดูแลอาการ ช็อค
-        ระวังกระบวนการฟอกเลือดทุกขั้นตอน
-        ผู้ป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อ Cardiac Arrcst ต้อง EKG monitor
                              การพยาบาล
-        แจ้งทีมการพยาบาลทราบเพื่อทำการช่วยฟื้นคืนชีพ
-        หยุดการฟอกเลือด ไล่เลือดกลับเข้าสู่ตัวผู้ป่วย
-        รายงานแพทย์โดยด่วน

3.8.12     Seizure
                               อาการ
-        ผู้ป่วยจะมีอาการเกร็งกระตุก
                              การป้องกัน
-        ลดของเสียของผู้ป่วยอย่างช้าๆ
-        ให้ยากันชักตามแผนการรักษา
                             การพยาบาล
-        ให้ออกซิเจน
-        ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
-        ลด  blood flow
-        ให้ 50 % กลูโคส 50 – 100 ซีซี
-        วัดและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงและสัญญาณชีพ
-        รายงานแพทย์
-        ให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.13     blood loss
                              การสังเกตอาการ
-        มีการสูญเสียเลือดเห็นได้อย่างชัดเจน
-        อาเจียน
-        ช็อค ชัก
                             การป้องกัน
-        ปิดปั้มเลือดทันที
-        ปิดที่หนีบ (clamp) สายส่งเลือดออกและสายส่งเลือดเข้า
-        หาสาเหตุของการมีเลือดออก
-        ถ้ามีการปนเปื้อนของเลือด ควรทิ้งเลือดทั้งหมดในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือด แต่ถ้าไม่มีการปนเปื้อน ไล่เลือดกลับเข้าสู่ผู้ป่วยได้
-        ให้ออกซิเจนถ้าเสียเลือดมาก
-        รายงานแพทย์
-        ให้เลือดและสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
-        ถ้าเกิดจากการรั่วซึมของ fistula  ใช้ pressure กดบริเวณเหนือส่วนนั้นขึ้นไป
3.8.14     Anaphylactoid type (first use syndrome type A)
                              การสังเกตอาการ
-        มีผื่นขึ้น คัน ไอ มีน้ำมูก ตาแดง ปวดท้อง ท้องเสีย เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก ถ้าอาการ
รุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจ    หัวใจหยุดเต้น
                              การป้องกัน
-        ล้างสารปนเปื้อนในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือดออกให้มากที่สุด
-        ใช้ตัวกรองเลือดให้เหมาะกับผู้ป่วย
                             การพยาบาล
-        หยุดทำการฟอกเลือดโดยไม่ต้องคืนเลือดเข้าตัวผู้ป่วย
-        ให้ออกซิเจนและให้การพยาบาลตามอาการ
-        ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 10 – 15 นาที
-        รายงานแพทย์และให้ยาตามแผนการรักษา
3.8.15     Non specific type (first use syndrome type B)
                              การสังเกตอาการ
-        จะมีอาการเจ็บหน้าอก ปวดหลัง มีไข้ ความดันโลหิตสูง หายใจเหนื่อย หอบ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ จนถึง 1 ชั่วโมง และหายไปได้เอง
                             การป้องกัน
-        ล้างสารปนเปื้อนในตัวกรองเลือดและสายส่งเลือดออกให้มากที่สุด
-        ใช้ตัวกรองเลือดให้เหมาะกับผู้ป่วย
                             การพยาบาล
-        ฟอกเลือดต่อไป
-        ให้การพยาบาลตามอาการ เช่น ให้ออกซิเจน
-        ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 10 – 15 นาที
-        รายงานแพทย์
-        ให้ยาตามแผนการรักษา
3.9      การเฝ้าติดตามการทำงานของเครื่องไตเทียม และการแก้ไขเมื่อพบความผิดปกติ ที่พบบ่อยๆ มีดังนี้

3.9.1         Dialyzer clotted
                               การสังเกต
-        มีลิ่มเลือดอุดตันในตัวกรอง
-        แรงดันทางด้านสายส่งเลือดระหว่างตัวปั้มเลือดและตัวกรองเลือดสูงขึ้น
                              การแก้ไข
-        หนีบสายส่งเลือดออก แล้วไล่ด้วยน้ำเกลือ 0.9 %NSS ให้ไหลเข้าตัวกรองเลือด อัตรา 200- 300 ซีซี
-        กลับตัวกรองเลือดเอาด้านเลือดเข้าขึ้นข้างบนแล้วปั่นตัวกรองไปมา
-        เพิ่มอัตราการไหลของเลือดให้ได้อย่างน้อย 200 ซีซี ต่อนาที
3.9.2        Ruptured membrane
                              การสังเกต
-        มีเสียงสัญญาณเตือน
-        ไฟ blood leak detector กระพริบ
                             การแก้ไข
-        สังเกตน้ำยาไตเทียมที่ออกจากตัวกรองเลือดว่ามีเลือดปนหรือไม่
-        ปลดสายน้ำยาไตเทียม ออกจากตัวกรองเลือด
-        ไล่เลือดกลับเข้าตัวผู้ป่วย
-        เปลี่ยนตัวกรองเลือดใหม่ แล้วฟอกเลือดต่อ
-        สังเกตการมีไข้ หนาวสั่น ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
3.9.3        Air detector  และ blood clamp
                              การสังเกต
-        สังเกตฟองอากาศในวงจรฟอกเลือด ถ้ามีเสียงสัญญาณตรวจจับฟองอากาศซึ่งจะเกิดพร้อมกับหนีบสายส่งเลือดเข้าทันที ตัวปั้มเลือดจะหยุดหมุน
                              การแก้ไข
-        หนีบสายส่งเลือดเข้า
-        ปลดกระเปาะรับเลือดที่สายส่งเลือดเข้าออกจาก air detector
-        กดปุ่ม Prime ให้ blood pump ทำงานไล่ฟองอากาศ ออกจากสายส่งเลือดเข้าให้หมด
-        ในกรณีที่ฟองอากาศมากไม่สามารถไล่ออกทางกระเปาะรับเลือดด้านสายส่งเลือดเข้าได้หมด จะต้องปลดสายส่งเลือดด้านนำเลือดออกมาเชื่อมต่อกับสายส่งเลือดด้านนำเลือดเข้า เปิด blood pump circulate ไปเรื่อยๆ จนสามารถ ไล่ฟองอากาศออกได้หมด
-        นำกระเปาะรับเลือดที่สายส่งเลือดเข้ามาผ่าน air detector ถ้าเครื่องไม่มีเสียงสัญญาณเตือนแสดงว่าไม่มีฟองอากาศในวงจรไตเทียม สามารถนำสายส่งเลือด ต่อเข้ากับผู้ป่วยทำการฟอกเลือดต่อไปได้
3.9.4        High arterial pressure
                               การสังเกต
-        ค่าแรงดัน arterial pressure สูง
-        จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-        blood pump หยุดหมุน
                               การแก้ไข
-        ดูแลไม่ให้สายส่งเลือดออกพับงอ ใช้ปลาสเตอร์ติดเข็มและ blood line ให้แน่น
-        ปรับเข็มให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี ถ้า blood flow ยังไม่ดี อาจจะต้องแทงเข็มใหม่ โดยไม่ต้องดึงเข็มเก่าออกจนกว่าฟอกเลือดเสร็จ
-        ใช้ 0.9 % NSS ไล่เลือดผ่านสายส่งเลือดด้านนำเลือดออกและตัวกรองเลือดพยายามไล่ลิ่มเลือดออกทางกระเปาะ ถ้าไม่สามารถไล่เลือดออกได้หรือตัวกรองเลือดอุดตันเกิน     50 %  ควรเปลี่ยนตัวกรองเลือดใหม่
3.9.5        Low arterial pressure
                               การสังเกต
-        ค่าแรงดัน  arterial pressureต่ำกว่าปกติ (-50 มม.ปรอท)
-        จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-        blood pump หยุดหมุน
                              การแก้ไข
-        ลด blood flow rate จนถึงระดับที่สายไม่กระตุก
-        วัดความดันโลหิต ถ้าความดันโลหิตของผู้ป่วยต่ำ ให้ 0.9% NSS  100 – 200 ซีซี หรือลด UFR.ลง
-        ถ้าความดันโลหิตปกติ ปรับตำแหน่งเข็มขึ้น ลง ในผู้ป่วยที่ใช้ Double lumen catheter หมุน catheter ไปมา
-        ถ้า blood flow ยังไม่ดีเปลี่ยนที่แทงเข็มใหม่ สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ Double  lumen จะต้องรายงานแพทย์ทราบ
3.9.6        High venous pressure
                                   การสังเกต
-        ค่าแรงดัน venous pressure สูงมากกว่าค่าที่ปรับตั้งไว้
-        จะมีเสียงสัญญาณเตือน
-        blood pump หยุดหมุน
                                   การแก้ไข
-        ตรวจสอบสายส่งเลือดเข้าว่ามีการพับงอหรือไม่
-        ตรวจสอบในตัวกรองเลือดและกระเปาะรับเลือดด้านส่งเลือดเข้าว่ามีลิ่มเลือดหรือไม่ โดยใช้ 0.9 % NSS ไล่เลือด 100 – 200 ซีซี  สังเกตตัวกรองเลือดถ้าใสดี แสดงว่ามีลิ่มเลือดอุดตันที่สายส่งเลือด ไล่ลิ่มเลือดออกทางปลายกระเปาะรับเลือด ถ้าไม่สามารถไล่ลิ่มเลือดออกได้ จะต้องเปลี่ยนสายส่งเลือดชุดใหม่
-        ตรวจสอบปลาย venous ถ้าต้องใช้แรงดันมากแสดงว่าปลาย  venous อุดตัน
3.9.7        Low venous pressure
                                    การสังเกต
-        ค่าแรงดัน  venous pressure ลดลงน้อยกว่า 50 มม. ปรอท
-        มีเสียงสัญญาณเตือน blood pump จะหยุดหมุน
                                   การแก้ไข
-        ดูแลอย่าให้เข็ม (AVF.)  เลื่อนหลุด โดยปิดปลาสเตอร์ให้แน่น
-        ดูแลข้อต่อให้แน่น
3.9.8       Blood pump  หยุดทำงาน ปกติจะต้องหมุนตลอดเวลาของการฟอกเลือด การแก้ไข จะต้องแก้ไขตามสาเหตุ
3.9.9       Heparin infusion pump ต้องใส่ให้แน่น เพื่อไม่ให้เกิดการหลุดรั่วและเพื่อตั้งอัตราการใช้ยาให้ถูกต้อง
3.9.10     ดูแลน้ำยาไตเทียมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติถ้ามีค่า High conductivity  จะต้องแก้ไขดังนี้
-        ดูแลให้มีแรงดันของน้ำเข้าเครื่องไตเทียมเพียงพอ
-        ตรวจน้ำยาไตเทียม
ถ้ามีค่า Low conductivity แก้ไขดังนี้
-        ตรวจสอบน้ำยาว่าหมดหรือไม่
-        ตรวจดูความถูกต้องของน้ำยา
3.9.11      อุณหภูมิปกติจะกำหนดไว้ 36.5 – 37 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส  เครื่องจะมีสัญญาณเตือน และ Auto bypass  
การแก้ไข
-        ดูแลให้มีแรงดันน้ำเข้าเครื่องให้เพียงพอ
-        ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำยาไตเทียมก่อนฟอกเลือดทุกครั้ง
-        แจ้งช่างแก้ไขระบบควบคุมภายในเครื่องให้ถูกต้อง
4.      เกณฑ์ชี้วัด
4.1   จะต้องมีข้อมูลบันทึกการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยขณะฟอกเลือดทุกราย
4.2  เมื่อผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนได้รับการแก้ไขช่วยเหลืออย่างถูกต้องทันท่วงที
4.3  ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลจากพยาบาลอย่างใกล้ชิดในระหว่างการฟอกเลือด
5.      ผู้รับผิดชอบ
พยาบาลวิชาชีพประจำหน่วยไตเทียม

หนังสืออ้างอิง

     แนวทางปฏิบัติเรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยขณะฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หน่วยไตเทียมมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย  ณ  ตึกกัลยาณิวัฒนา  โรงพยาบาลสงฆ์.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น