1. วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
จากการใช้น้ำบริสุทธิ์ที่มีคุณภาพตามที่สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยกำหนด
2.
เพื่อให้ระบบน้ำบริสุทธิ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลาขณะทำการฟอกเลือดด้วย
เครื่องไตเทียม
3. เพื่อใช้อุปกรณ์ในระบบน้ำ
RO ให้เป็นไปตามเวลาที่เหมาะสม
2.
คุณภาพน้ำบริสุทธิ์ที่ใช้ในการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
น้ำบริสุทธิ์ที่ใช้ในการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1.
ต้องมีจำนวนแบคทีเรียในน้ำบริสุทธิ์น้อยกว่า 200
CFU/ml และใน dialysate ที่ผสมกับ
น้ำบริสุทธิ์แล้วต้องมีจำนวนแบคทีเรียน้อยกว่า
200 CFU/ml
2. ควรมีปริมาณ endotoxin ปนเปื้อนน้อยกว่า 2 EU/mL
3.
ในการทำ hemodiafiltration หรือ on-line
hemofiltration หรือ on-line hemodiafiltration ต้องใช้น้ำบริสุทธิ์ที่มีคุณภาพระดับ Ultra-pure ซึ่งมีจำนวนแบคทีเรียในน้ำบริสุทธิ์น้อยกว่า
0.1 CFU/ml และปริมาณ endotoxin ปนเปื้อนน้อยกว่า 0.03 EU/mL
4. มีปริมาณสารปนเปื้อนไม่เกินค่าสูงสุดที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานของ Assosiation
for the
Advancement of Medical
Instrumentation (AAMI) 2006 ตามตารางดังนี้
ตารางแสดงปริมาณสารปนเปื้อนค่าสูงสุดในน้ำ
RO ที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานของ Assosiation
for the Advancement of Medical Instrumentation (AAMI) 2006
สาร
|
ระดับสูงสุด
(mg/L)
|
Aluminum
|
0.01
|
Chloramines
|
0.1
|
Free
chlorine
|
0.5
|
Copper
|
0.1
|
Fluoride
|
0.2
|
Lead
|
0.005
|
Nitrate (as N)
|
2
|
Sulfate
|
100
|
Zinc
|
0.1
|
Calcium
|
2
(0.1 mEq/L)
|
Magnesium
|
4
(0.3 mEq/L)
|
Potassium
|
8
(0.2 mEq/L)
|
Sodium
|
70
(3.0 mEq/L)
|
Arsenic
|
0.005
|
Barium
|
0.1
|
Cadmium
|
0.001
|
Chromiun
|
0.014
|
Mercury
|
0.0002
|
Selenium
|
0.09
|
Silver
|
0.005
|
Antimony*
|
0.006
|
Beryllium*
|
0.0004
|
Thallium*
|
0.002
|
* แนวทางปฏิบัติของสมาคมโรคไต ฉบับปี 2550
ยังไม่ได้กำหนดให้จำเป็นต้องตรวจเนื่องจากปัญหาของห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจได้ยังมีจำกัด
3. ส่วนประกอบของระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ของหน่วยไตเทียม
รพ.บ้านม่วง และการดูแล
ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ในหน่วยไตเทียม ติดตั้งในตัวอาคาร เป็นห้องสำหรับระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์โดยเฉพาะแยกจากพื้นที่ทำการฟอกเลือด แต่ละระบบมีส่วนประกอบ
และรายละเอียด ดังภาพ Flow Diagram
หน้า 16
3.1 ระบบกรองน้ำเบื้องต้น
(Pre-treatment system) ประกอบด้วย
3.1.1 ถังสำรองน้ำประปา (Raw water storage tank) มีความจุ 500 ลิตร ควบคุมระดับน้ำโดย ลูกลอยไฟฟ้า ทำงานประสานกับ Solenoid Valve ซึ่งติดตั้งกับท่อน้ำประปาก่อนเข้าถังจะเปิดอัตโนมัติให้น้ำประปาเข้าถังที่ระดับ Low level start
และปิดอัตโนมัติที่ระดับ High level stop ปากถังมีท่อ Drain กรณีน้ำล้น ส่วนทีก้นถังจะมีท่อ
Drain และ Valve เพื่อทิ้งน้ำเมื่อต้องการ
หรือเวลาล้างถัง
การดูแล
1.
ต้องตรวจเช็คการทำงานของลูกลอยไฟฟ้า
และ Solenoid
Valve ทุกวันจาก
การสังเกตระดับน้ำประปา ให้มีระดับถึง High level stop เมื่อระบบ RO หยุดทำงานโดยอัตโนมัติ
2. กรณี Solenoid
Valve มีปัญหา สามารถใช้ Valve Manual Bypass เปิดและปิด
น้ำประปาเข้าถังได้ ระหว่างรอช่างมาซ่อมแซม แต่ต้องคอยควบคุมไม่ให้น้ำล้นจากถังขณะเปิด
valve
3. ติดตามให้ช่างบริษัท ซีวีพี
ล้างถังปีละ 1 ครั้ง
3.1.2 ปั๊มน้ำดิบ (Raw water pump) ทำการปั๊มน้ำประปาจากถังสำรองน้ำประปาเพื่อผลิตน้ำ RO ในระบบประกอบด้วยปั๊มน้ำดิบ
2 ตัว
เปิดทำงานสลับกันโดยผู้ใช้ต้องทำการสลับเองทุกวันก่อนเริ่มงาน ดังนี้ เปิดใช้
Raw water pump 1 ในวันคี่ และเปิดใช้ Raw water pump 2 ในวันคู่
ในช่วงของการผลิตน้ำ RO ปั๊มน้ำดิบดังกล่าว จะทำงานเปิดและปิดเองโดยอัตโนมัติจาก การควบคุมของลูกลอยไฟฟ้าในถังน้ำ
RO (RO storage tank)
จะเปิดอัตโนมัติที่ระดับ Low level start และปิดอัตโนมัติที่ระดับ High
level stop และเพื่อป้องกันการเสียหายของ Raw
water pump
จะปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการใช้น้ำดิบถึงระดับ Low level
stop
การดูแล
1. สลับใช้งานตามที่กำหนดไว้ ทุกวันก่อนเริ่มงาน
ดังกล่าวมาแล้ว
2. ต้องตรวจเช็คและบันทึกค่าแรงดันทุกวันขณะระบบทำงานจาก
Pressure
gauge ตัวที่ 1 (P1)
ไม่ควรมีแรงดันเปลี่ยนไปเกิน
10 psi เมื่อเทียบกับค่าที่บันทึกครั้งก่อน
3. สำรวจความผิดปกติอื่นๆ เช่น
การรั่วของปั๊ม โดยสังเกตน้ำที่ไหลหยดลงพื้นใต้ปั๊ม เสียงการทำงานของปั๊มที่เปลี่ยนไป ต้องแจ้งช่างมาทำการซ่อมแซมให้เป็นปกติ
3.1.3 Filter20 ไมครอน ขนาด 10 นิ้ว บรรจุใน Housing พลาสติกสีใส
มองเห็น Filter ชัดเจน
3.1.4 ถัง Sand ทำงานในการกรองสารแขวนลอยในน้ำประปาที่มีขนาดเกิน 10 ไมโครมิเตอร์ ให้น้ำประปามี Silt Density Index (SDI) <
5.0 เพื่อลดการอุดตันของ RO
membrane
ถัง Sand มีระบบ Auto backwash ด้านบนถัง
และมีท่อ drain ด้านหลัง เพื่อทำ
ความสะอาดสารกรองทุกวัน ตามเวลาที่กำหนด ดังที่แจ้งไว้บนป้ายหน้าถัง
ซึ่งจะทำงานในขณะไม่มีการใช้
ระบบน้ำ RO ใช้เวลา 45
นาที ( Backwash 30 นาที Rapid rinse 15
นาที)
การดูแล
1. ติดตามให้ค่า SDI < 5 เมื่อช่างบริษัทมาซ่อมบำรุง ร่วมกับสังเกตสีของ Pre RO filter
ไม่ควรสกปรก เร็วเกินกว่า
1 เดือน
2. ป้องกันการอุดตันของระบบโดยการตรวจเช็คและบันทึกความแตกต่างของแรงดันส่วนหน้า(P3)
และหลังถัง(P4) ไม่ควรมีค่าเกิน 10 psi
3.
ตรวจเช็คและบันทึกการตั้งเวลาปัจจุบันของเครื่องให้ถูกต้อง
4. ตรวจเช็คสายน้ำ Drain ด้านหลังให้อยู่ในท่อและยึดติดกับท่อ
เพื่อป้องกัน
การหลุดออกขณะมีการ Backwash
6. กรณีมีปัญหาแรงดันตกมากหลังถัง Sand
และระบบน้ำ RO ไม่ทำงาน สามารถเปิด Valve bypass ด้านบนถัง Sand เพื่อให้ระบบน้ำ
RO ทำงานได้ และต้องตามช่างมาซ่อมถัง Sand ให้เสร็จเร็วที่สุด
7. เปลี่ยนสารกรองทรายทุก 1
ปี
3.1.5 ถัง Softener มีจำนวน 1
ถัง ทำงานต่อเนื่องกัน
ภายในมีสาร Exchange resin ทำงานในการลดความกระด้างของน้ำประปาโดยการแลกเปลี่ยนประจุ Na+ ในสาร
Exchange resin กับ Ca2+ และ Mg2+
ในน้ำประปา
ถัง Softener แต่ละถังมีระบบ Auto regeneration ด้านบนถัง และมีท่อ drain ด้านหลัง
เพื่อคืนประสิทธิภาพให้สาร
Exchange
resin
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนจนอิ่มตัว โดยการดูดน้ำเกลือเข้มข้นจากถังเกลือเข้าสู่ถัง
Softener
แช่ทิ้งไว้แล้วจึงล้างเกลือออก
ใช้เวลาในการทำ Auto regeneration ถังละ 1 ชั่วโมง โดยทำงานทุกวันตามเวลาที่กำหนด
ดังแจ้งไว้บนป้ายหน้าถัง
การดูแล
1. ติดตามประสิทธิภาพการทำงานของ Exchange resin และ Auto regeneration
โดยการตรวจสภาพความกระด้างของน้ำประปาหลังถัง Softener จาก Sample port ที่ P6 ทุกวัน และบันทึก
(ดูวิธีการตรวจความกระด้างของน้ำ
ในหน้า 12)
ถ้าตรวจไม่ผ่านต้องทำ Manual regeneration หลังทำแล้วถ้ายังไม่ผ่าน
ต้องแจ้งช่างทันที
และตรวจดูค่า Total dissolved solidsของน้ำ RO
จาก TDS meter ต้องไม่เกิน 10 ppm ถ้าเกินต้องตรวจ Hardness ในน้ำ RO ถ้าพบในปริมาณมากกว่า 17 ppm พิจารณาหยุดการฟอกเลือด เพื่อป้องกันภาวะ Hardness syndrome
2. ป้องกันการอุดตันของ
Softener
โดยการตรวจเช็คและบันทึกแรงดัน
หน้าและส่วนหลังถัง (P 4 และP 5) ไม่ควรมีแรงดันเปลี่ยนไปเกิน 10 psi
3.
ตรวจเช็คและบันทึกเวลาปัจจุบันของเครื่อง ให้ถูกต้อง
4. ตรวจเช็คสายน้ำ Drain ด้านหลังให้อยู่ในท่อและยึดติดกับท่อ เพื่อป้องกัน
การหลุดออกขณะมีการ Regeneration
5.
กรณีมีปัญหาแรงดันตกมากหลัง Softener
และระบบน้ำ ROไม่ทำงานสามารถเปิด Valve bypass ด้านบนของแต่ละถัง เพื่อให้ระบบน้ำ RO ทำงานได้ และต้องตามช่าง มาซ่อมแซม ให้เสร็จเร็วที่สุด
6.
ตรวจระดับเกลือในถังเกลือ
หมั่นเติมไม่ให้ได้ระดับต่ำกว่าที่กำหนด
ซึ่งจะทำให้การ regeneration ไม่มีประสิทธิภาพ
7.ติดตามให้ช่างบริษัทซีวีพี
ล้างถังเกลือทุก 1 ปี
8.
เปลี่ยนสาร Exchange
resin ทุก 1 ปี หรือเมื่อพบว่าไม่มีประสิทธิภาพ
3.1.6 ถัง Carbon ประกอบด้วย 2 ถัง ทำงานแบบอนุกรม ภายในถัง Carbon แต่ละถังจะบรรจุ
charcoal resin ในปริมาณ 7 ลูกบาศก์ฟุต เพื่อดูดซึมสารคลอรีนและคลอรามีนที่เป็นสารพิษต่อร่างกาย
และสามารถทำลาย RO Membrane ได้
Carbon
แต่ละถังมีระบบ Auto backwash ด้านบนถัง และ มีท่อ drain ด้านหลัง เพื่อคืนประสิทธิภาพให้สาร
charcoal resin
ใช้เวลาในการทำ Auto backwash ถังละ 40 นาที โดยทำงานทุกวัน ตามเวลาที่กำหนด ดังแจ้งไว้บนป้ายหน้าถัง
การดูแล
1.
ตรวจเช็คและบันทึกประสิทธิภาพการทำงานของสาร
Charcoal resin
โดยการตรวจปริมาณ Chlorine ในน้ำประปาหลังออกจาก
Carbon ถังที่ 2 จาก Sample port ที่ P 6
ต้องไม่พบสาร Chlorine (ดูวิธีการตรวจสาร Chlorine
ของน้ำ ในหน้า 12 ) ถ้าพบสาร Chlorine หลังถัง
ที่ 2 และ TDS
meter > 10 ppm ต้องตรวจสาร
Chlorine ในน้ำ RO ถ้าพบ Drain น้ำ RO ทิ้งและผลิตใหม่ พร้อมทั้งแจ้งช่างให้มาแก้ไขให้เร็วที่สุด
2. ป้องกันการอุดตันของ Carbon ถังที่ 1 โดยการตรวจเช็คและบันทึกแรงดันส่วนหน้าและหลังถัง (P4 และ
P5) ไม่ควรมีแรงดันเปลี่ยนไปเกิน
10 psi
3. ป้องกันการอุดตันของ Carbon ถังที่ 2 โดยการตรวจเช็คและบันทึกแรงดันส่วนหน้าและหลังถัง ( P5 และ
P6) ไม่ควรมีแรงดันเปลี่ยนไปเกิน
10 psi
4. ตรวจเช็คและบันทึกเวลาปัจจุบันของเครื่อง
ให้ถูกต้องทั้ง 2 ถัง
5. ตรวจเช็คสายน้ำ Drain ด้านหลังให้อยู่ในท่อและยึดติดกับท่อ เพื่อป้องกันการหลุดออกขณะมีการ
Backwash
6. กรณีมีปัญหาแรงดันตกมากหลัง
Carbon ถังที่ 1 หรือ 2 และระบบน้ำ
RO ไม่ทำงาน สามารถเปิด Valve bypass ด้านบนของแต่ละถัง
เพื่อให้ระบบน้ำ RO ทำงานได้ และต้องตามช่างมาซ่อมแซม ให้เสร็จเร็วที่สุด
7. เปลี่ยนสาร Charcoal
resin ทุก 1 ปี ในถังต้นน้ำ และสลับไปแทนที่ถังปลายน้ำ
พร้อมทั้งสลับป้ายอันดับถัง
3.1.7
Pre RO filter 0.5 ไมโครมิเตอร์ ทำหน้าที่กรองสารแขวนลอยในน้ำประปา
เช่น
ผงถ่านที่หลุดจากถัง Carbon และฝุ่นละออง เพื่อลดการอุดตันของ RO membrane Pre RO filter
นี้ประกอบด้วย Filter ขนาด 20 นิ้ว บรรจุใน Housing พลาสติกทึบสีน้ำเงิน มองไม่เห็น Filter
การดูแล
1. ตรวจเช็คและบันทึกการอุดตันของ Filter
สังเกตแรงดันหลัง Filter ที่ตำแหน่ง P7 และ P8 มีแรงดันลดลงไม่เกิน
10 psi
2. เปลี่ยน Filter ทุก 1 เดือน หรือ เมื่อมีการอุดตัน โดยมี pressure เปลี่ยนไป 10 psi
3.2 ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์
(RO system) ประกอบด้วย
3.2.1 ปั้ม RO (High power pump) ทำหน้าที่สร้างแรงดันสูง (Feed pressure) ระหว่าง
100-200 psi ที่ตำแหน่ง
P9 เพื่อส่งน้ำประปาที่ผ่านการกรองในระบบกรองน้ำเบื้องต้นแล้วในปริมาณประมาณ
10 ลิตร เข้าสู่ RO membrane ในการกรองน้ำ
RO ปั๊ม RO นี้จะทำงานเปิดและปิดเองโดย
อัตโนมัติจากการควบคุมของลูกลอยไฟฟ้าในถังน้ำ RO (RO storage tank) จะเปิดอัตโนมัติที่ระดับ
Low level start และปิดอัตโนมัติที่ระดับ High
level stop และเพื่อป้องกันการเสียหายของ
ปั๊มๆ จะปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการใช้น้ำ RO ถึงระดับ Low level
stop
การดูแล
สังเกตการรั่วของท่อด้านหน้าและหลังตัวปั้ม
ถ้าพบมีน้ำรั่วซึมต้องตามช่างซ่อมทันที
3.2.2 ชุด RO ประกอบด้วย membrane RO ที่มีความละเอียดของ
pore ที่ 10-9 ไมโครมิเตอร์ ทำการกรองน้ำ RO
ที่ Recovery 50
% มีอัตราการผลิตน้ำ RO
ที่ 5 แกลลอนต่อนาที
การดูแล
1.
ตรวจเช็คและบันทึกประสิทธิภาพในการกรองสารของ RO membrane โดยการดู
ค่า TDS meter ที่บอกถึงการปนเปื้อนของสารต่างๆ
ในน้ำ RO ต้องมีค่าไม่เกิน 10 ppm. ทุกวัน
หรือติดตามค่า % rejection จากการซ่อมบำรุงของช่างบริษัทซีวีพี
ไม่ควรมีค่าต่ำกว่าร้อยละ 90
2. ตรวจประเมินและบันทึกการอุดตันของ
RO membrane โดยการติดตามค่า
Feed pressure (ตำแหน่ง P9) ทุกวัน
ถ้ามีค่าถึง 200 psi และ product flow ลดลง (% recovery ลดลง) ต้องแจ้งช่างเพื่อส่ง RO membrane ล้าง
3. ต้องเปลี่ยน RO
membrane เมื่อหลังล้าง RO membrane แล้ว Feed pressure
ไม่ลดลงและ product flow ไม่เพิ่มขึ้น และหรือ % rejection
มีค่าต่ำกว่าร้อยละ 90
3.3 ระบบจ่ายน้ำบริสุทธิ์ (RO Distribution)
3.3.1 ถังเก็บน้ำบริสุทธิ์ (RO water tank) วัสดุทำจากโพลีเอทีลีน มีขนาด 500 ลิตร
ฝาปิดสนิทและเคลือบรอยต่อด้วย Silicone มี Bacteria air vent filter กรองอากาศเข้าถังเมื่อระดับน้ำ
RO ลดลง
และมีลูกลอยไฟฟ้าควบคุมระดับน้ำ RO
โดยทำงานประสานกับ Raw water pump และ Pump RO ซึ่งจะเปิดอัตโนมัติผลิตน้ำ RO เข้าถังเมื่อระดับน้ำ RO อยู่ที่ Low level start และปิดการผลิตอัตโนมัติที่ระดับ High level stop มีระบบเตือนเป็นเสียง
เมื่อระดับน้ำ RO ลดลงถึง Low level stop ระบบจะหยุดทำงานทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับอุปกรณ์ โดยเฉพาะปั๊มน้ำต่างๆ
เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในถังน้ำ
RO น้ำในถังจะมีการถ่ายเทหมุนเวียนตลอดเวลาด้วยระบบ Recirculation และหลังเสร็จงานการฟอกเลือด จะมีระบบหยุดการผลิตน้ำ RO
ไว้ที่ระดับ 400 L เพื่อให้มีการ Circulate ได้ทั่วถึง ที่ก้นถังจะมีท่อ Drain
และ Valve เพื่อทิ้งน้ำเมื่อต้องการหรือเวลาล้างถัง
การดูแล
1.
ตรวจเช็คการทำงานของลูกลอยไฟฟ้า โดยดูจากระดับน้ำในถัง RO ให้สอดคล้องกับการทำงานโดยอัตโนมัติของระบบ
2.
Brake ระบบการผลิตน้ำ RO โดยอัตโนมัติ ให้มีระดับน้ำ RO ในถังที่
400 L
หลังเสร็จงานและตั้งเวลาผลิตน้ำ RO 1 ชั่วโมง
ก่อนการทำงานครั้งใหม่
3.
ติดตามให้ช่างบริษัทซีวีพี
ล้างถังน้ำ RO ทุก 1
ปี
4. เปลี่ยน Air vent
filter ทุก 1 ปี
3.3.2 ปั๊มจ่ายน้ำ RO (Transfer
pump) ประกอบด้วยปั๊ม 2
ตัว สลับกันทำงาน
โดย ปั๊มจ่ายน้ำตัวที่ 1 เปิดทำงานวันคี่ เวลา 07.00 น. และ ปั๊มจ่ายน้ำตัวที่ 2 วันคู่ เวลา 07.00 น. ของทุกวัน ปั๊มน้ำแต่ละตัวจะจ่ายน้ำ RO เข้ายัง Loop HD และ Loop reuse ที่จะกล่าวต่อไป
โดยจะมีแรงดันตั้งต้นที่ 60-80 psi ปั้มจ่ายน้ำ RO จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติถ้าระดับน้ำ
RO ในถังลดลงถึงระดับ Low level stop เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดกับตัวปั้ม
การดูแล
1.
สลับใช้ปั๊มจ่ายน้ำตามเวลาที่กำหนด
2. ตรวจและบันทึกดูการเปลี่ยนแปลงค่าแรงดันของ
Transfer pump ที่ตำแหน่ง
P9 และ P 10 ไม่ควรมีแรงดันต่ำกว่า 30 psi เสียงปั๊มไม่ดังรบกวน ถ้าปรากฏต้องแจ้งช่างแก้ไข
3. ตรวจดูการรั่วของปั๊มจ่ายน้ำ และท่อทางเข้า-ออกโดยสังเกตน้ำที่ไหลออกมาภายนอก
2.3.3
วงจรท่อ RO (RO Loop) ประกอบด้วย 2 Loop ได้แก่ HD Loop และ Reuse Loop ท่อทำด้วยวัสดุ U-PVC แต่ละ Loop ติดตั้งแบบ recirculation
น้ำ RO จะไหลคืนสู่ RO storage tank ทั้ง 2 Loop และ มีการrecirculation ตลอด 24 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในระบบท่อ RO
ในแต่ละ Loop มีระบบการฆ่าเชื้อ โดยหลอดไฟ Ultraviolet ซึ่งเปิดตลอด 24
ชั่วโมง และมี filter ขาออก และก่อนเข้าถัง RO พร้อมทั้ง pressure gauge สำหรับ Reuse Loop ทุกหัวก๊อกที่แยกมาล้างตัวกรองจะมี
One way valve ป้องกันน้ำไหลกับสู่ท่อ RO หลัก
การดูแล
1. ตรวจและบันทึกการทำงานของUV
ให้มีหลอดไฟสว่าง 24 ชั่วโมงและเปลี่ยนหลอดไฟ UV ทุก 1 ปี
2. สำรวจรอยรั่วซึมของท่อROตลอดแนวถ้าพบต้องรีบแก้ไขและอบฆ่าเชื้อระบบท่อใหม่
3. อบฆ่าเชื้อระบบท่อและถัง RO
ทุก 6 เดือน
พร้อมทั้งเปลี่ยน filter ทุกตัว
ต้นทางก่อนผ่านหลอดไฟ UV
จุดจ่ายน้ำสำหรับ Reuse Dialyzer
Dialysate จากเครื่องไตเทียม Section ละ 1 เครื่องทุกเดือน
4. การตรวจสอบคุณภาพน้ำ
4.1 การตรวจสอบความกระด้างของน้ำด้วย
Test Strips
อุปกรณ์
1.
Test Strips
2.
แก้วหรือหลอดทดลองสำหรับใสน้ำ
3.
ถังสำหรับ Drain น้ำ
4.
ตารางบันทึกผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำประจำวัน
วิธีทดสอบ
1. Drain น้ำทิ้งจาก Sample port ที่ 6
ประมาณ 2
2. ล้างแก้วทดสอบ ด้วยน้ำตัวอย่างที่ต้องการทดสอบ 2-3
ครั้ง
3. ใส่น้ำตัวอย่างลงในแก้วทดสอบ ½ แก้ว
4. จุ่มTest Strips
5. ตรวจสอบการเปลี่ยนสีของน้ำตัวอย่างเปรียบเทียบกับแถบสีข้างขวด
6. ล้างแก้วทดสอบให้สะอาด
และบันทึกผลลงในตารางบันทึกผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ประจำวัน
1.2
การตรวจหาจำนวนแบคทีเรียปนเปื้อนโดยวิธีเพาะเชื้อ
4.2.1
ต้องเก็บตัวอย่างน้ำบริสุทธิ์ส่งเพาะเชื้อทุกเดือนก่อนทำการอบฆ่าเชื้อในระบบน้ำ บริสุทธิ์
4.2.2 ส่งตัวอย่างน้ำบริสุทธิ์ตรวจหาปริมาณ Endotoxin ทุก 3
เดือน
4.2.3
ตำแหน่งที่เก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจ คือ
ต้นทางก่อนผ่านหลอดไฟ UV
จุดจ่ายน้ำสำหรับ Reuse Dialyzer
Dialysate จากเครื่องไตเทียม Section ละ 1 เครื่องทุกเดือน
4.2.4
Action level เมื่อพบ Bacteria 50 CFU/mL
และ Endotoxin 1 EU/mL
ต้องทำการอบฆ่าเชื้อระบบน้ำบริสุทธิ์ใหม่
อุปกรณ์
1.
ขวด Sterile เก็บน้ำตัวอย่างที่ปิดแน่นสนิทดี จำนวน 9
ขวด
ติดป้ายตำแหน่งที่เก็บน้ำ RO บนขวด
2.
70%
Alcohol spray
3.
Mask
4.
ถัง Drain
5.
ใบ Request
วิธีการเก็บตัวอย่างน้ำ
1.
ผูกผ้าปิดปากและจมูก
2.
ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
3.
เปิดน้ำให้ไหลผ่านล้าง Sample port ที่ต้องการเก็บตัวอย่างน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย
60 วินาที หรืออย่างน้อย
1 ลิตร เพื่อล้างสิ่งปนเปื้อนที่อาจติดค้างใน
Sample port ออกโดยไม่ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด ถ้าต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อให้ใช้ 70% Alcohol Spray
รอบๆ ปาก Sample port
และปล่อยน้ำไหลผ่านอย่างน้อย 1 ลิตร
4.
เก็บตัวอย่างน้ำ mid stream 10
ml ใส่ในภาชนะที่สะอาดปราศจากเชื้อ โดยใช้
เทคนิคปลอดเชื้อ และปิดฝาให้สนิท เพื่อส่งเพาะเชื้อโดยวิธี membrane
filtration
5.
ส่งห้องปฏิบัติการภายใน 2
ชั่วโมง
หากไม่สามารถส่งได้ทันให้เก็บตัวอย่างน้ำไว้ที่
อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส
แล้วรีบส่งตรวจภายใน 24 ชั่วโมง
4.3 ส่งตรวจหาสารปนเปื้อนทางเคมี
ต้องเก็บตัวอย่างน้ำบริสุทธิ์ส่งตรวจหาสารต่างๆ ตามมาตรฐาน
AAMI ปีละ 1 ครั้ง
และเมื่อมีเหตุให้สงสัยในการปนเปื้อน
อุปกรณ์
1.
ขวดเก็บน้ำตัวอย่างที่ปิดแน่นสนิทดี จำนวน 2
ขวด
ติดป้ายตำแหน่งที่เก็บน้ำ RO บนขวด
2.
70%
Alcohol spray
3.
Mask
4.
ถัง Drain
5.
ใบ Request
วิธีการเก็บตัวอย่างน้ำ
1.
ผูกผ้าปิดปากและจมูก
2.
ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
3.
เปิดน้ำให้ไหลผ่านล้าง Sample port ที่ต้องการเก็บตัวอย่างน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย
60 วินาที หรืออย่างน้อย
1 ลิตร เพื่อล้างสิ่งปนเปื้อนที่อาจติดค้างใน
Sample port ออกโดยไม่ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด ถ้าต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อให้ใช้ 70% Alcohol Spray
รอบๆ ปาก Sample port
และปล่อยน้ำไหลผ่านอย่างน้อย 1 ลิตร
4.
เก็บตัวอย่างน้ำ mid
stream 500 ml ใส่ในภาชนะที่สะอาดปราศจากเชื้อ
โดยใช้
เทคนิคปลอดเชื้อ และปิดฝาให้สนิท เพื่อส่งตรวจสารปนเปื้อนใน 2
ชั่วโมง
หนังสืออ้างอิง
แนวทางปฏิบัติเรื่อง การเตรียมน้ำบริสุทธิ์เพื่อการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
ฉบับปี พ.ศ. 2550
สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย.
แนวทางปฏิบัติเรื่อง การเตรียมน้ำบริสุทธิ์เพื่อการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม. หน่วยไตเทียมมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ณ
ตึกกัลยาณิวัฒนา โรงพยาบาลสงฆ์.
16
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น