วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โรคไตเรื้อรัง


1.ไตคืออะไร
                ไตเป็นอวัยวะภายในที่อยู่หน้ากล้ามเนื้อหลังของร่างกายบริเวณบั้นเอว ทั้ง2 ข้าง ปกติไตมี 2 อัน    ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว ขนาดยาว 12-14 เซนติเมตร ในผู้ใหญ่ สำหรับเด็กจะมีขนาดเล็กกว่าตามสัดส่วนของร่างกาย
                                           




หน้าที่ของไต
1. ผลิตปัสสาวะเพื่อกำจัดของเสีย ออกจากร่างกายโดยเฉพาะจากโปรตีน
 2. กำจัดสารที่เป็นพิษ หรือยาบางชนิด
3. ควบคุมการเป็นกรดหรือด่างในเลือด
4. ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย รวมทั้งความดันโลหิต
5.สร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดงและสร้างวิตามินดีที่เกี่ยวข้องกระดูก
·       หน่วยไตแต่ละหน่วยทำหน้าที่เหมือนตัวกรอง
·       ไตปกติตัวกรองจะเปิดเพื่อกรองเอาของเสียและน้ำส่วนเกินออก

·       ไตที่เสื่อม เช่น ไตจากโรคเบาหวาน ตัวกรองจะตันและหนาตัวขึ้น
สาเหตุโรคไตเรื้อรัง
·       โรคทางพันธุกรรม เช่น ไตเป็นถุงน้ำ
·       โรคของเนื้อไตบางชนิด เช่น IgA
·       โรคเบาหวาน
·       โรคความดันโลหิตสูง
·       โรคนิ่ว
·       การอุดตันทางเดินปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต
·       การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ
·       การใช้ยาแก้ปวดข้อพร่ำเพรื่อ

ระยะของโรคไตเรื้อรัง
ระยะของไต
การทำงาน
อัตราการกรอง
มิลลิลิตร/นาที
1
ไตเริ่มเสื่อมแต่การทำงานยังปกติ     
>90
2
ไตเสื่อมและการทำงานลดลง
60-89
3
การทำงานของไตลดลงครึ่งหนึ่ง     
30-59
4
การทำงานของไตลดอย่างมาก        
15-29
5
ไตเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนฟอกเลือด  
<15

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมหรือด้วยวิธีล้างไตทางช่องท้อง อัตราการกรอง < 6 มิลลิลิตรต่อนาที

โรคไตเรื้อรัง (ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ) และไตวายคืออะไร

เมื่ออายุมากกว่า 30 ปีไตจะเริ่มทำงานลดลงหรือ เสื่อมไปตามอายุขัยตามธรรมชาติไตเสื่อมจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยเฉลี่ยการทำงานของไตจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี  แต่บางภาวะที่ไตเกิดโรค พบว่าไตจะเสื่อมลงเร็วกว่าการ เสื่อมตามธรรมชาติ
   กรณีที่ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือหยุดทันทีเรียกว่า โรคไตวายเฉียบพลัน
 ซึ่งไตอาจจะกลับมาเป็นปกติได้ถ้าได้รับการรักษาที่เหมาะสม แต่ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้าๆต่อเนื่องทำให้ไตเกิดความผิดปกติถาวร เรียกว่าโรคไตเรื้อรัง
ในกรณีที่ไตเกิดความเสื่อมอย่างมาก(ไตทำงานได้น้อยกว่า 15%ของไตคนปกติ) จะเรียกว่า โรคไตวายระยะสุดท้าย
             ไตเรื้อรัง
·       ประวัติ ปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย อาจจะมีอาการ ขาบวมกดบุ๋ม อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหารหรือ อาเจียน สับสน และซึม
·       ตรวจร่างกาย ซีด ความดันโลหิตสูง ลมหายใจ มีกลิ่นของปัสสาวะ
·       ตรวจปัสสาวะ พบตะกอนผิดปกติในปัสสาวะ
·       ตรวจเลือด พบการทำงานของไตบกพร่อง ติดต่อ กันนานอย่างน้อย 3 เดือน
·       ขนาดของไต มีขนาดเล็กน้อยกว่า 10 เซนติเมตรโดยเห็นได้โดยการทำ
อัลตร้าซาวด์
·       ที่สำคัญ ในระยะแรกของโรคไตเรื้อรังท่านอาจไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ซึ่งตรวจวินิจฉัยได้จากความผิดปกติของเลือดเท่านั้น
สาเหตุ
·       โรคทางพันธุกรรม เช่นไตเป็น ถุงน้ำ
·       โรคของเนื้อไตบางชนิดเช่น IgA
·       โรคเบาหวาน
·       โรคความดันโลหิตสูง
·       โรคนิ่ว
·       การอุดตันทางเดินปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต
·       การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ
·       การใช้ยาแก้ปวดข้อพร่ำเพรื่อ

การชะลอโรค
·       ความดันโลหิตสูง <130/80 มิลลิเมตรปรอท
·       เบาหวานควบคุมให้น้อยกว่า 110 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
·       งดสูบบุหรี่    
·       การบริโภคอาหารที่ถูกต้อง
·       การใช้ยาลดความดันบางชนิดที่สามารถ ชะลอความเสื่อมของไต
·       ระดับไขมันในเลือด (แอล ดี แอล <100 มก/ดล.)
·       รักษาโรคที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น เช่น นิ่ว ต่อมลูก-หมากโต
·       ไม่ใช้ยาแก้ปวดที่มีผลต่อไตพร่ำเพรื่อ
 การรักษาทดแทนไต

ปัจจุบันมี 3 ทางเลือก
1.              การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis )
  การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นการนำเลือดผ่านเข้าเครื่องไตเทียมผ่านไปยังเยื่อ Hemodialyzer ซึ่งเป็น  semipermeable membrane ซึ่งจะกรองเอาของเสียออก เลือดที่ผ่านการกรองก็จะกลับเข้าสู่เครื่องไตเทียม และเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กำจัดของเสีย คุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และรักษาระดับความดันให้ปกติ

การเตรียมการก่อนฟอกเลือด
ก่อนฟอกเลือดจะต้องมีการนำเลือดจากหลอดเลือดมาฟอกโดยทำได้ 2 วิธี
  • ใช้เข็มเจาะเข้าหลอดเลือดที่หลอดเลือดบริเวณคอ และหลอดเลือดขาหนีบ วิธีนี้ใช้ฟอกเลือดได้ 2-6 สัปดาห์
  • วิธีที่สองเป็นการต่อหลอดเลือดแดง และดำ [arteriovenous [ A-V] fistular ]หลังต่อหลอดเลือดดำจะพองและขยายทำให้สามารถใช้เข็มเจาะเอาเลือดไปฟอกได้ วิธีนี้เป็นวิธีการถาวรแต่ต้องใช้เวลาให้หลอดเลือดดำพองตัว
              ขณะฟอกท่านสามารถอ่านหนังสือหรือรับประทานอาหารได้ ใช้เวลาฟอก     2-4 ชั่วโมง อาทิตย์ละ2-3 ครั้ง
             โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ    พบได้บ่อยคือ ความดันโลหิตต่ำ อาจเกิดจากผู้ป่วยกินยาลดความดันโลหิตก่อนฟอกและตะคริว เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่เร็วเกินไป ใช้เวลาในการปรับตัวหลายเดือน  โรคแทรกซ้อนที่พบได้น้อยได้แก่ ไข้ เลือดออกทางเดินอาหาร คัน นอนไม่หลับเป็นต้น
ข้อห้ามการฟอกเลือดคือ ความดันโลหิตต่ำ และเลือดออก


ข้อปฏิบัติก่อนการฟอกเลือด
1.             ควรงดรับประทานยาลดความดันโลหิตก่อนฟอก 4-6 ชั่วโมง
2.             ถ้ามีการเสียเลือดมาก เช่นมีประจำเดือน อุจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด ให้แจ้งแพทย์ก่อนฟอกเลือดทุกครั้ง
การปฏิบัติตนขณะฟอกเลือด
1.             แขนข้างที่กำลังฟอกให้อยู่นิ่งๆ
2.             เตรียมอาหารมารับประทานขณะฟอกเลือด
3.             ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น ขณะฟอกให้แจ้งพยาบาลผู้ดูแลทันที
ข้อควรปฏิบัติหลังฟอกเลือด
  • หลังการฟอกเลือดใหม่จะมีการห้ามเลือดโดยใช้พลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซปิด เมื่อเลือดหยุดจึงเอาผ้าก๊อซออกและติดพลาสเตอร์
  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารตามคำแนะนำดังกล่าวมาแล้ว
  • ชั่งน้ำหนักทุกวัน โดยควบคุมมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 1 กก.
  • หลังการฟอกเลือดให้ระวังการถูกกระแทกแรงๆเพราะจะทำให้เกิดช้ำได้


การรับประทานอาหาร
1.             ให้รับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา แทนจากถั่วและผัก
2.             เลือกอาหารที่มีโพแทสเซียมไม่สูงไม่ต่ำเนื่องจากสูงหรือต่ำไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อหัวใจ(ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ทุเรียน ผลไม้แห้ง ลูกพรุน ลูกเกด กล้วย ฝรั่ง กระท้อน)
3.             จำกัดน้ำดื่มมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 1 กิโลกรัม
4.             งดอาหารเค็ม
5.               งดอาหารที่มีฟอสเฟตสูง(ถั่ว นม  เนย เบเกอรี่ ชา กาแฟ )
2.การล้างไตทางช่องท้องแบบถาวร
หลักการฟอกไตวิธีนี้คือการใส่สายเข้าไปในช่องท้อง แล้วใส่น้ำยาเข้าในช่องท้องเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงปล่อยออก ระยะเวลาในการฟอกขึ้นกับวิธีการฟอก เช่น (CAPD) ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ,(CCPD)ใช้เวลา 12 ชั่วโมง โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ช่องท้องอักเสบ ป้องกันโดยทำการล้างท้องแบบปราศจากเชื้อ
การดูแลสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้อง
เนื่องจากผู้ที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้องจะมีน้ำในท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง การยกของหนักจะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายจึงมีคำแนะนำดังนี้
  • คำนึงถึงน้ำหนักที่จะยกว่าหนักไปหรือไม่
  • ให้ยกของใกล้ตัวมากที่สุด
  • เวลาจะยกของให้กางขาออก ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
  • ให้ย่อเข่าแทนการก้ม
  • อย่ายกของจากที่ชั้นที่สูง
  • อย่ายกของและบิดเอว






3.การผ่าตัดปลูกไต 






การปลูกไต
           คือการนำไตที่ไม่เป็นโรคมาผ่าตัดให้กับคนที่เป็นโรคไตวาย วิธีการได้มา อาจจะนำมาจากผู้ป่วยที่สมองตายแล้ว หรือจากการบริจาคของญาติสายตรง   ก่อนการเปลี่ยนไตแพทย์จะต้องตรวจเลือดและเนื้อเยื่อว่าเข้ากับผู้ป่วยหรือไม่เพื่อป้องกันการปฏิเสธเนื้อเยื่อ หลังการเปลี่ยนไตแพทย์จะให้ยากดภูมิรับประทาน

เอกสารอ้างอิง

            กรุงเทพฯ.

สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.  
          (2556). คู่มือ การจัดการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้น. 
           กรุงเทพฯ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น